ที่มา : หน้า 15 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 43 ฉบับที่ 3,921 วันที่ 10 - 13 กันยายน พ.ศ. 2566 https://www.thansettakij.com/business/marketing/575627 “เครื่องสำอาง” ฟื้นตัวแรง จับตาตลาดไทย 3 แสนล้านเติบโตเกือบ 10% หลังแห่อัดนวัตกรรม-อีเวนต์กระตุ้นตลาด ชี้เทรนด์คอสเมติกส์รักษ์โลก “ไม่ง่าย” ข้อมูลจากรายงาน Grand View Research ที่ประเมินว่า มูลค่าตลาดเครื่องสำอางทั่วโลกจะขึ้นไปแตะระดับ 3.64 แสนล้านดอลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 12.38 ล้านล้านบาทในปี 2573 เติบโตเฉลี่ยปีละ 4.2% เพิ่มขึ้นจากปี 2565 ประมาณ 1.4 เท่า ขณะเดียวกันตลาดเครื่องสำอางของไทยก็มีโอกาสที่จะเติบโตสอดคล้องกับเทรนด์โลก โดยคาดว่าในปี 2573 ตลาดเครื่องสำอางในไทยจะมีมูลค่ากว่า 3.23 แสนล้านบาท เติบโตเฉลี่ย 5.0% ต่อปี เพิ่มขึ้นจากปี 2565 ประมาณ 1.5 เท่า โดยผลิตภัณฑ์บำรุงผิว (Skin Care) มีมูลค่าตลาดมากที่สุด คิดเป็นสัดส่วนกว่า 41% รองลงมาได้แก่ ผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับเส้นผม (Hair Care) และเครื่องสำอางสำหรับแต่งหน้า (Makeup) ในสัดส่วน 16% และ 12% ของมูลค่าตลาดเครื่องสำอางในประเทศ ทำให้ยังมีโอกาสในตลาดอีกมากสำหรับผู้ประกอบการที่จะกระโดดเข้ามาแข่งขัน นางเกศมณี เลิศกิจจา กรรมการบริหารสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย, ประธานคลัสเตอร์อุตสาหกรรมสุขภาพและความงาม และนายกสมาคมผู้ผลิตเครื่องสำอางไทย เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่าภาพรวมตลาดเครื่องสำอางในโลกมีมูลค่าราว 9.4 ล้านล้านบาท เติบโต 6% ในปีที่ผ่านมา สำหรับประเทศไทยคาดว่าปีนี้จะมีมูลค่ากว่า 3 แสนล้านบาท เติบโตราว 9.46% เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากปีก่อน ที่มีการเติบโต 9.26% แต่ยังเป็นทิศทางการขยายตัวที่ดี เมื่อเทียบกับช่วงโควิดที่เหลือเพียง 1.88% โดยเซ็กเม้นท์ใหญ่ยังคงเป็นครีมบำรุงที่มีมูลค่ากว่า 8 หมื่นล้านบาท ขณะที่เซกเตอร์ที่มาแรง คือ กลุ่มผลิตภัณฑ์ที่อยู่ในโรงพยาบาล- ร้านขายยา ซึ่งมีการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ อย่างไรก็ตาม ตอนนี้กำลังซื้อในประเทศยังไม่ค่อยดีเท่าไร และตลาดความงามไทยเติบโตได้เพราะความพยายามของเอกชนและสมาคมที่ช่วยกันผลักดัน ดึงอีเวนต์ระดับโลกเข้ามาจัดในประเทศไทยเพื่อดึงให้ผู้ประกอบการ นักลงทุนต่างชาติเข้ามาเจอกับผู้ประกอบการไทยซึ่งได้รับการตอบรับที่ดี |
“สิ่งนี้น่ากลัวเพราะ Dermacosmetics หรือเวชสำอาง ในมุมกฏหมายจะยุ่งยากมาก ต้องใช้เวลาตั้งแต่การวิจัย ผลิต ไปจนถึงขออนุญาตไม่น้อยกว่า 2 ปี ทำให้คู่แข่งต่างประเทศรู้ว่าเราจะผลิตอะไร ดังนั้นผู้ประกอบการจะไม่ทันต่างประเทศ เพราะเครื่องสำอางเป็นทั้งสุขอนามัยและเป็นแฟชั่น ถ้าเราช้าถือว่าเราเสียเปรียบ แต่คำว่า “เวชสำอาง” ไม่มีทั้งในพรบ.และไม่มีนิยามในตัวเองเป็นเพียงคำที่ใช้ในการตลาด
หมายรวมผลิตภัณฑ์กลุ่มลดริ้วรอย หน้าขาว สิว ฝ้า ซึ่งเป็นสินค้าท็อป ฮิต ขณะเดียวกันไทยส่งออกเครื่องสำอาง อันดับ 19 ของโลก ในอนาคตมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นและขยับอันดับขึ้นแน่นอน แต่ต้องยอมรับว่าสิ่งที่เราด้อยคือ บรรจุภัณฑ์ที่ยังทำได้ไม่ดีพอ และอาจทำให้คุณภาพและการรักษาคุณค่าของผลิตภัณฑ์ลดลง”
ขณะเดียวกันเรื่องของ คาร์บอนฟุตพริ้นท์, BCG หรือแม้แต่ green economy อาจกลายเป็นการกีดกันทางการค้า ซึ่งบริษัทใหญ่ๆ ในต่างประเทศหรือแม้แต่ WHO ยังเข้ามากระตุ้นในประเด็นนี้บวกกับกฏหมาย “มัดจำและคืนบรรจุภัณฑ์” ซึ่งมองว่า “ทำไม่ง่าย” นางเกศมณี กล่าวและย้ำว่า
สำหรับเทรนด์ของโลก ไม่เพียงแต่จำกัดอยู่ที่ “เครื่องสำอาง” แต่เป็นลักษณะของ “สุขภาพและความงาม” นั่นคือ “ต้องสวยจากภายในสู่ภายนอก” ซึ่ง GWI รายงานว่าในปี 2563 ตัวเลขเศรษฐกิจเพื่อสุขภาพเติบโตสูงถึง 4.4 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ และปี 2568 จะเติบโตแบบดับเบิ้ล โดยเครื่องสำอางยังมีสัดส่วนมากที่สุด 30% มูลค่า 9.5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ รองลงมาคือผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร 25% ขณะที่เทรนด์ความงามกลับเข้าสู่ธรรมชาติ คนจะไม่แต่งหน้าจัดจ้าน เน้นแต่งหน้าเป็นธรรมชาติ ผิวดูฉ่ำเงาหรือผิวกระจก
ด้านนางสาวบุษบา จินตโสภณ กรรมการด้านธุรกิจ บริษัท อินเตอร์เนชั่นแนล แลบบอราทอรีส์ จำกัด กล่าวเพิ่มเติมว่า ไทยมี “made in thailand” เป็น branding ซึ่งปัจจุบันสามารถส่งออกผลิตภัณฑ์ความงามเป็นอันดับ 19 ของโลกกินสัดส่วนมูลค่าการส่งออก มากกว่า 35% จากมูลค่าตลาดส่งออกรวม 8.7 หมื่นล้านบาท
โดยเซ็กเตอร์ส่งออกมากที่สุดคือ “สกินแคร์” ส่วนรองลงมาเป็น “ผลิตภัณฑ์สำหรับเส้นผม” อันดับ 3 คือ คอสเมติกส์ หรือ เมคอัพ กลุ่มมาสคาร่า อายไลเนอร์ และลิปสติก ส่วนสัดส่วนการขายในประเทศประมาณ 65% สำหรับเทรนด์การผลิตเครื่องสำอางหรือผลิตภัณฑ์ความงาม ตอนนี้จะเน้นไปที่การเจาะจงแก้ปัญหาเฉพาะจุด
“ตลาดความงามเมืองไทยค่อนข้างที่จะหอมหวาน นอกจากผู้ผลิตรายใหญ่ยังมีระดับผู้เล่นรายใหม่เข้ามา ทำให้ตลาดมีความหลากหลายมากขึ้น ทำให้โรงงานหรือภาคการผลิตใหม่ๆเกิดความท้าทายตัวเองในเรื่องของมาตรฐานและการมีนวัตกรรมโดดเด่นเพื่อทำให้โรงงานของตัวเองสามารถยืนขึ้นมาได้ นอกจากนี้ การที่ Influencer หรือ Celebrity หันมาทำเครื่องสำอางแบรนด์ตัวเองเป็นอีกหนึ่งโอกาสของผู้ผลิตแต่การผลิตสินค้าให้กับกลุ่มนี้จะต้องสร้างคาแรคเตอร์ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมให้กับแบรนด์ดิ้ง หรือ Celebrity นั้นด้วย”
นวัตกรรมด้านความงามที่เป็นไฮไลท์ของปีนี้คือการพัฒนานวัตกรรมจากต้นน้ำหรือวัตถุดิบดีๆซึ่งเป็นอัตลักษณ์ของคนไทยให้เป็นที่ยอมรับของต่างประเทศ โดยเฉพาะวัตถุดิบที่สกัดจากภูมิปัญญาต้นตำรับของยาไทย เช่น เกสรดอกบัวหลวง เกสรดอกลำเจียก ซึ่งมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลของเครื่องสำอางด้านแอนไทเอจจิ้ง คุณภาพเทียบเท่ากับวัตถุดิบที่นำเข้าจากต่างประเทศ รวมทั้งการทำ Texture ใหม่ๆ มาให้กับเครื่องสำอาง
“เราส่งออกเป็นอันดับที่ 19 ของโลกและเมื่อเทียบกับอาเซียนเราเป็นอันดับ 1 ในการส่งออก ประเทศเรามีคือเรื่องของวัฒนธรรมและBranding ของความเป็นไทย ซึ่งถ้ามองในส่วนของเครื่องสำอางภาคของการผลิตจะมีการเติมเรื่องของธรรมชาติและความปลอดภัยที่เรียกได้ว่าเทียบเท่ากับระดับโลกได้ ในฐานะของผู้ผลิตเครื่องสำอางต้องยอมรับว่ามีการเติบโตขึ้นสูงมากและมีบริษัทชั้นนำที่เป็นผู้ผลิตเครื่องสำอางซึ่งเป็นแบรนด์คนไทยเติบโตในระดับโลก ดังนั้นถ้ามองภาพในอนาคตเชื่อว่าเรามีที่ยืนที่สง่างามในตลาดโลกได้อย่างแน่นอน”